การแข่งขันฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกและประวัติที่น่าสนใจ

ฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกเป็นการนำยอดทีมชั้นนำ 32 ทีมจากทวีปยุโรปมาดวลแข้งกันเพื่อหาทีมที่เป็น “เจ้ายุโรป” ในระดับสโมสร โดยทีมที่ชนะเลิศจะเป็นตัวแทนทวีปยุโรปไปแข่งขันในฟุตบอลสโมสรโลกอีกด้วย โดยในฤดูกาล 2023-2024 จะเป็นการแข่งขัน 32 ทีมในรูปแบ่งกลุ่มเป็นปีสุดท้าย โดยจะเพิ่มทีมจาก 32 เป็น 36 ทีม หลังจากที่ยูฟ่าประกาศว่ารูปการแข่งขันรูปแบบใหม่จะถูกนำมาใช้ในฤดูกาลหน้า

การคัดเลือกทีมเข้าร่วมแข่งขัน

ยูฟ่ามีวิธีการคัดเลือกทีมเข้าร่วมแข่งขันแต่ละฤดูกาลที่ค่อนข้างซับซ้อนเลยดีเดียว โดยยูฟ่าจะมีการจัดอันดับประเทศในทวีปยุโรปรวม 55 ประเทศ โดยวัดจากผลงานของทีมสโมสรของประเทศนั้นๆ เมื่อได้รับสิทธิเข้าร่วมการแข่งขันที่ยูฟ่าจัดขึ้น สมาคมอันดับที่ 1-4 จะได้สโมสรเข้าร่วมการแข่งขัน 4 สโมสร สมาคมอันดับที่ 5–6 จะได้สโมสรเข้าร่วมการแข่งขัน 3 สโมสร สมาคมอันดับที่ 7–15 (ยกเว้น รัสเซีย ที่ถูกแบนจากสงคราม) ได้เข้าร่วม 2 สโมสร และอันดับ 16-55 ได้เข้าร่วม 1 สโมสร โดยในฤดูกาล 2023-24 ประเทศที่ได้รับการจัดอันดับ 1-4 ได้แก่ อังกฤษ สเปน อิตาลี และ เยอรมัน

โดยจะมี 22  ทีมที่ได้สิทธิเข้าแข่งขันในรอบ 32 ทีมสุดท้าย โดยไม่ต้องผ่านรอบคัดเลือก คือทีมที่เป็นแชมป์เก่าของรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกและยูโรป้าลีก สมาคมที่อยู่อันดับที่ 12 ขึ้นไปจะได้รับสิทธิ์ในรอบ 32 ทีมสุดท้ายทันที 1 ทีม

การแข่งขันในรอบ 32 ทีมสุดท้าย

เมื่อได้ครบ 32 ทีมในรอบสุดท้ายแล้ว ทีมที่เป็น “ตัวเต็ง” ได้แก่  ทีมแชมป์เก่าของยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกและยูโรป้าลีก และทีมแชมป์ลีกของสมาคมที่อยู่ใน 6  อันดับแรกจะถูกจัดไว้ในโถที่ 1 และในโถที่  2 3 และ 4 ก็จะถูกจัดตามความสูงต่ำของอันดับของยูฟ่าเช่นกัน โดยจะจับฉลากแบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม

การแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่มจะคัดเอาทีมอันดับ 1-2 ของแต่ละกลุ่มเข้าสู่รอบ 16 ต่อไป แต่หากมีทีมไหนที่คะแนนเท่ากัน จะถูกตัดสินการเข้ารอบด้วยประตูได้เสีย แต่หากประตูได้เสียยังเท่ากันอีกจะตัดสินด้วยจำนวนประตูที่ยิงได้ในรอบแบ่งกลุ่ม

เมื่อเหลือ 16 ทีมแล้ว การจับฉลากจะถูกแบ่งออกเป็น 2 โถ คือโถของทีมที่เข้ารอบเป็นที่ 1  และโถของทีมที่เข้ารอบเป็นที่ 2  ทั้ง 2 โถจะถูกจับมาแข่งกันแบบเหย้าเยือน แบบแพ้คัดออก เมื่อจบ 2 นัดทีมใดสกอร์เยอะกว่าจะเป็นผู้เข้ารอบต่อไป แข่งแบบนี้ไปเรื่อยๆจนได้คู่ชิงชนะเลิศ โดยนัดชิงชนะเลิศจะเล่นแบบนัดเดียวจบที่สนามเป็นกลาง

ประวัติการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก

การแข่งขันฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกปัจจุบันนับเป็นการแข่งขันฟุตบอลที่เรียกได้ว่าเป็นที่นิยมที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลระดับสโมสร  โดยเริ่มแข่งมาตั้งแต่ปี 1955-1956 (นับถึงปี 2022 เท่ากับ 67 ปีเลยทีเดียว)

การแข่งขันเริ่มต้นในปี 1955 โดยคำแนะนำของกาเบรียล อาโน ผู้สื่อข่าวกีฬาชาวฝรั่งเศส และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์เลกิปโดยเดิมทีใช่ชื่อว่า  “ยูโรเปียนคัพ”  การแข่งขันในช่วงนี้เป็นรูปแบบเหย้าเยือน โดยให้สิทธิทีมที่ชนะในลีกสูงสุดของแต่ละประเทศในทวีปยุโรปเข้าร่วมแข่ง

จนในปี 1992 ยูฟ่าตัดสินใจเปลื่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขันเป็นการแบ่งทีมที่เข้าร่วมทั้งหมด 32 ทีมเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีมที่ 1 และที่ 2 ของแต่ละกลุ่มจะเข้ารอบต่อไป ซึ่งจะเป็นการแข่งขันแบบเหย้าเยือน โดยในปี 2024 นัดชิงชนะเลิศจะแข่งขันในวันที่ 1 มิถุนายน 2024 ที่สนามกีฬา เวมบลีย์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก

  • “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริค เป็นทีมที่คว้าแชมป์ได้มากที่สุดรวมทั้งสิ้น 14 ครั้ง  อันดับสองคือ “ปีศาจแดงดำ” เอซี มิลาน  คว้าแชมป์ได้ 7 ครั้ง
  • “เจ้าม้าลาย” ยูเวนตุส เป็นทีมที่คว้ารองแชมป์ได้มากที่สุด โดยเข้าชิง 9 ครั้ง ได้แชมป์เพียง 2 ครั้ง และพลาดท่าในนัดชิงชนะเลิศได้เป็นรองแชมป์ถึง  7 สมัย
  • คริสเตียโน โรนัลโด ยอดดาวเตะชาวโปรตุเกส เป็นนักเตะที่ยิงประตูได้เยอะที่สุด  โดยยิงไปได้ 136 ประตู  และยังครอบครองสถิติลงเล่นในรายการนี้มากที่สุดที่ 178 นัดอีกด้วย
  • รอย มาคาย ศูนย์หน้าทีมชาติฮอลแลนด์ เมื่อครั้งเล่นให้กับบาเยิร์น มิวนิค เป็นผู้ทำสถิติยิงประตูเร็วที่สุดไว้ด้วยเวลาเพียง 11 วินาที ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดแรกเมื่อปี 2006-2007 พบกับ เรอัล มาดริค ก่อนจบเกมส์ทีมจากเมืองเบียร์เอาชนะไปได้ 2-1
  • แต่เดิมยูฟ่ามีกฎว่า ทีมที่ได้แชมป์สมัยที่ 5 หรือคว้าแชมป์ได้ 3 ปีติดต่อกัน จะได้รับถ้วย “บิ๊กเอียร์” อันจริงไปประดับที่สโมสร  แต่กฎนี้กลับถูกยกเลิกไปในปี 2008-2009 ทำให้มีเพียง 5 สโมสรเท่านั้น ที่มีถ้วยใบจริงประดับอยู่ในตู้เกียรติยศของสโมสร  ได้แก่ เรอัล มาดริด, อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม, บาเยิร์น มิวนิค, เอซี มิลาน และลิเวอร์พูล ที่ทำได้ครบ 5 สมัยในปี 2005
  • แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าแชป์เปี้ยนลีกมาครองเป็นสมัยแรกของสโมสร ในฤดูกาล 2022-2023 และกลายเป็นทีมที่ 2 ของอังกฤษต่อจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สามารถคว้า ทริปเปิ้ลแชมป์ได้